งานประเพณีรับบัว
ข้อมูลโดย : admin
รายละเอียด :
ขอเชิญเที่ยวชมงานประเพณีรับบัว ประจำปี 2554 "หนึ่งเดียวในโลก แห่งเดียวในประเทศไทย" (One Traditional only of The word) นมัสการหลวงพ่อโตศักดิ์สิทธิ์ ร่วมงานสืบสานและอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีเก่าแก่ จากอดีตสู่ปัจจุบัน ชมมหรสพสมโภช ลิเก ดนตรี ลูกทุ่งวงใหญ่ พรีตลอดงาน การออกร้านขายสินค้า ของกินของใช้ สินค้าต่าง ๆ มากมาย วันที่ 11 ตุลาคม 2554ณ บริเวณที่ว่าการอำเภอบางพลี และบริเวณวัดบางพลีใหญ่ใน อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
- ประวัติความเป็นมาของประเพณีรับบัว
ประเพณีรับบัวเป็นประเพณีเก่าแก่สิบทอดกันมาแต่โบราณ ของชาวอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ โดยจัดงานทุกวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี โดยในสมัยก่อน อำเภอบางพลี มีประชาชนอาศัยอยู่แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ คนไทย คนลาว และคนรามัญ (ชาวมอญพระประแดง) ทุกกลุ่มชนต่างทำมาหากินและอยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่นเสมือนญาติมิตร
ประเพณีรับบัว เกิดขึ้นเพราะความมีน้ำใจที่ดีต่อกันระหว่างคนในท้องถื่นกับคนมอญพระประแดงซึ่งทำนาอยู่ที่ตำบลบางแก้ว ในช่วงออกพรรรษาจะกลับไปทำบุญที่อำเภอพระประแดง ได้เก็บดอกบัวเพื่อบูชาพระหรือถวายแด่พระสงฆ์และฝากเพื่อนบ้าน
ในปีต่อมา ชาวอำเภอเมือง และชาวอำเภอพระประแดง ต่างพร้อมใจกันพายเรือมาเก็บดอกบัวที่อำเภอบางพลีและถือเป็นโอกาสอันดีในการนมัสการองค์หลวงพ่อโต อีกทั้งระยะทางระหว่างที่อำเภอพระประแดงกับอำเภอบางพลีไกลกันมาก เพื่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินเรือแต่ละลำจะร้องรำทำเพลงมาตลอดเส้นทาง
สำหรับการแห่หลวงพ่อโตทางน้ำในประเพณีรับบัวที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ สืบเนื่องจาก พ.ศ. 2467 นางจั่นกับพวกชาวบางพลี ได้ร่วมสร้างองค์ปฐมเจดีย์ ณ วัดบางพลีใหญ่ในและจัดงานเฉลิมฉลองโดยแห่ผ้าห่มองค์พระปฐมเจดีย์ และวิวัฒนการมาเป็นแห่องค์หลวงพ่อโตจำลองอัญเชิญไปตามลำคลองสำโรง เพื่อให้ประชาชนได้นมัสการ ดอกไม้ที่ใช้นมัสการคือ ดอกบัว
ความรู้ทางขนธรรมเนียมประเพณี
ประเพณีโยนบัว เป็นงานประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนาซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่มากเป็น
ที่รู้จักของคนทั่วไปและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างดี วันจัดงานตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 คือก่อน
ออกพรรษา 1 วัน ที่จัดก่อนวันออกพรรษาเพราะวันออกพรรษาจะเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทำบุญกัน แต่วันงานประเพณีโยนบัว
จะเป็นวันที่ทุกคนสนุกสนานรื่นเริงเปรียบเหมือนการเฉลิมฉลองก่อนเทศกาลออกพรรษา
เมื่อถึงวันงานประเพณี ประชาชนทุกเพศทุกวัย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ และทั้งหญิงชายทุกหมู่บ้าน รวมไปถึงนักท่อง
เที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติจะพากันตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาชมงานแต่สำหรับคนที่เข้าร่วมงานคือเข้าร่วมขบวนแห่เรือด้วยก็จะแต่ง
การชุดไทยสวยงาม งานจะเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเว้า เริ่มจากพิธีแห่ขบวนเรือ ล่องมาตามคลองบางพลีซึ่งจะตั้งต้นจากวัดบางพลีใหญ่
ล่องมา จนถึงที่ว่าการอำเภอ บางพลี เรือลำแรกที่เป็นหัวขบวนจะเป็นเรือพระโดยอัญเชิญหลวงพ่อโตประดิษฐาน มาในเรือ และมี
ฝีพายแจวเรือล่องมาอย่างช้า ๆเพื่อให้ประชาชนที่ยืนอยู่ตลอดสองฝั่งคลองได้โยนดอกบัวที่เตรียมมาลงในเรือพระและคนที่อยู่ในเรือ
ก็จะคอยรับเอาดอกบัวรวบรวมไปวางไว้หน้าตักหลวงพ่อโต เปรียบเสมือนกับการนำเอาดอกไม้มากราบไหว้บูชาพระพุทธรูปนั่นเอง
นอกจากโยนดอกบัวลงในเรือแล้ว ยังมีบางคนโยนข้าวต้มมัดลงมาในเรือด้วยเพื่อให้ฝีพายและคนที่ร่วมอยู่ในขบวนแห่ได้กิน
แก้หิวกันไปพลางก่อนที่จะเสร็จพิธีขบวนเรือในพิธีนี้จะประกอบด้วยเรือพระที่เป็นหัวขบวนและมีเรือติดตามอีกสองสามลำ ต่อจากเรือ
ติดตามนี้จะเป็นเรือที่เข้าร่วมพิธีที่มาจากหมู่บ้านทั้ง 15 หมู่บ้านของตำบลบางพลี โดยแต่ละหมู่บ้านจะส่งเรือเข้าร่วมพิธีหมู่บ้านละ 3
ลำ ซึ่งนอกจากจะเข้าร่วมพิธีแห่แล้วยังถือเป็นการประกวดแข่งขันกันด้วย การประกวดเรือนี้ จะมีทั้งประเภทสวยงาม ความคิดและ
ตลกขบขัน แต่ละหมู่บ้านจึง พิถีพิถันในการแต่งเรือประกวดของตนให้สวยงามเป็นพิเศษ ทำให้ขบวนเรือแห่นี้เป็นขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่
สวยงามละลานตาเป็นที่ชื่นชอบและประทับใจแก่ผู้ที่เข้าชมงานมากจนเป็นที่กล่าวขวัญถึงอยู่เสมอ
การประกวดแข่งขันในประเพณีโยนบัวนี้นอกจากแข่งขันประกวดเรือแล้วยังมีการประอย่างอื่นอีกเพื่อเป็นการเพิ่มสีสันและ
ดึงดูดความสนใจแก่ผู้ร่วมงานรวมไปถึงนักท่องเที่ยว การประกวดแข่งขันเหล่านี้ ได้แก่ การประกวดแจวเรือ การแข่งขันกินข้าวต้มมัด
การแข่งขันชักคะเย่อเรือการแข่งขันพายเรือถัง และการประกวดขวัญใจแม่ค้า การประกวดแข่งขันต่าง ๆ นี้เปิดโอกาส ให้ทุกคนเข้า
ร่วมได้ เพราะสามารถจะส่งเข้าประกวดในนามตำบล หน่วยงานหรือบุคคลก็ได้ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย ยกเว้นการประกวด
ขวัญใจแม่ค้าแต่อย่างไรก็ตามพิธีแห่ขบวนเรือและการประกวดแข่งขันกันนี้ ต้องเสร็จสิ้นก่อน 11 โมง เพราะแดดร้อนจัด ทำให้คนดู
และคนแข่งขันทนแดดไม่ไหว งานก็จะหมดสนุกจึงต้องเลิกงานก่อน 11 โมงเช้า
งานประเพณีโยนบัวนี้นอกจากจะมีพิธีเกี่ยวเนื่องกับศาสนาแล้วยังเป็นประเพณีที่นำเอาภูมิปัญญาไทยเสริมสร้างความสามัคคี
ให้เกิดในชุมชนด้วย เพราะการที่ประชาชนได้เข้าร่วมงานไม่ว่าจะในฐานะผู้ชมหรือผู้มีส่วนร่วมงานก็ตามล้วนทำให้เกิดพลังสามัคคี
ในหมู่บ้านของตนเกิดความภาคภูมิใจและความรักท้องถิ่น ส่วนการที่ให้มีการโยนบัวเพื่อสักการะพระพุทธรูป หรือ หลวงพ่อโตนั้น
ก็เป็นกลยุทธ์ในการส่งเสริมการค้าอย่างหนึ่ง เพราะในชุมชนจะมีนาบัวซึ่งมีดอกบัวจำนวนมาก เมื่อถึงวันงานประเพณีดอกบัวก็จะ
ขายได้ราคาดีขึ้น และขายได้ในจำนวนมากขึ้นด้วย เท่ากับเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ทำนาบัวมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปกติปีละครั้ง เพื่อ
เป็นกำลังใจให้ประกอบอาชีพนี้ต่อไป
http://www.thaigoodview.com/node/46534
งานประเพณี รับบัว - โยนบัว
“เดือน ๑๑ น้ำนอง เดือน ๑๒ น้ำทรง เดือนอ้าย เดือนยี่ น้ำรี่ไหลลง”
ข้อความอันแสดงถึงวัฎจักรของธรรมชาตินี้ คนไทยภาคกลางที่สมัยก่อนมีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับสายน้ำมักจะพูดกันในยามฤดูน้ำเหนือเริ่มไหลหลากลงมา ช่วงเดือน ๙ - เดือน ๑๐ ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงขึ้นแล้วเอ่อล้นตลิ่งในเดือน ๑๑ - เดือน ๑๒ ตามลำดับ และนี่เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งว่างานประเพณีต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องด้วยน้ำกำลังจะมาถึง ไม่ว่าจะงานบุญสารท เดือน ๑๐, งานปิดทองไหว้พระ, งานออกพรรษาที่มักจะมีการแข่งเรือรวมอยู่ด้วย และ งานบุญกฐิน-ผ้าป่า ต่างจะทยอยกันมาเพิ่มเติมความสุขความรื่นเริงให้กับชีวิตผู้คนที่สมัยนั้นเรื่องของความบันเทิงหาได้ไม่ง่ายเช่นทุกวันนี้
สำหรับชาวบางพลี สมุทรปราการ ซึ่งมีงานประเพณีรับบัวหรือโยนบัว สืบทอดกันมายาวนานเกือบร้อยปี กำลังจะได้เห็นภาพของความร่วมมือร่วมใจในการอัญเชิญหลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ ประดิษฐานในเรือลำใหญ่แห่แหนไปตามลำคลองสำโรง เพื่อรับดอกบัวที่ชาวบ้านสองฟากฝั่งตระเตรียมไว้รอคอยที่จะโยนบัวนั้นไปบนเรือ เพื่อนมัสการหลวงพ่อโตอีกครั้ง ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ คือก่อนวันออกพรรษาหนึ่งวัน ตรงกับวันที่ ๑๗ ตุลาคม นี้เอง มีคำบอกเล่าต่อ ๆ กันมาว่าประเพณีอันดีงามนี้สืบเนื่องมาจากทุ่งบางพลีในยามหน้าน้ำสมัยก่อนนั้น มีดอกบัวหลวงอยู่มากมาย เรียกได้ว่าเป็นแหล่งดอกบัวที่ประชาชนทั่วไปในพื้นที่ใกล้เคียงและชาวบางพลีเอง จะสามารถมาเก็บมาหาดอกบัวไปใช้ถวายพระในงานบุญออกพรรษา ได้ทั้งนั้นทำให้ชาวบางพลีผู้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และหวังในบุญกุศลร่วมกันก็จะช่วยจัดเก็บดอกบัวหลวงไว้แจกให้ชาวบ้าน โดยไม่ได้คิดมูลค่าอะไร ในวันก่อนออกพรรษา นี่เป็นสาเหตุเริ่มแรกของประเพณีที่เรียกว่ารับบัว และในสมัยก่อนนั้น ประชาชนที่อยู่ในแถบ อ.บางพลี จะมีอยู่สามพวก คือคนไทยเจ้าของพื้นที่กับคนลาวและคนมอญหรือที่เรียกว่ารามัญ แต่ละกลุ่มจะมีหัวหน้าควบคุมดูแล ต่อมาคนทั้งสามกลุ่มได้ปรึกษากัน แล้วร่วมใจกันหักร้างถางพงแยกออกไปคนละทิศ เพื่อเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกให้กลุ่มของตน ปรากฏว่าพวกมอญที่แยกไปทางลาดกระบังเพาะปลูกแล้วไม่ได้ผล นกหนูรบกวนจึงเตรียมตัวอพยพกลับปากลัดถิ่นเดิม โดยเริ่มอพยพในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ก่อนออกพรรษาหนึ่งวัน จึงได้เก็บดอกบัวไปด้วยมากมาย โดยบอกคนไทยที่คุ้นเคยกันว่าจะนำไปบูชาพระคาถาพันที่ปากลัด ทั้งยังชักชวนว่าในปีต่อไป พอวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ละก็ให้คนไทยเก็บดอกบัวรวบรวมไว้ที่วัดหลวงพ่อโตด้วยพวกตนจะมารับ พอถึงกำหนดวันนัดคนไทยก็เก็บรวบรวมดอกบัวไว้ที่บางพลีใหญ่ พวกมอญก็มารับดอกบัวตามที่ตกลงกันไว้ เวลาที่เขามารับบัวนั้น เขาจะมาด้วยเรือขนาดใหญ่จุคนได้ถึง ๕๐–๖๐ คน มีการร้องรำทำเพลง การละเล่นต่าง ๆ มาอย่างสนุกสนาน พวกที่คอยรับก็พลอยเล่นสนุกสนานไปด้วย ทั้งยังได้เตรียมอาหารคาวหวานไว้เลี้ยงดูกันอิ่มหนำสำราญดีแล้วพวกรามัญหรือคนมอญนี้จึงนำดอกบัวไปบูชาหลวงพ่อโตส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งนำกลับไปบูชาพระคาถาพันที่วัดของตนในวันออกพรรษา จากความร่วมแรงร่วมใจกันทำบุญและ เลี้ยงดูเล่นสนุกสนานร่วมกันทุกปีนี้เอง จึงมีผู้สันนิษฐานว่าคงจะก่อให้เกิดความคุ้นเคยอันส่งผลให้การรับ-ส่งบัวที่เคยรับส่งกันแบบยกมือพนมอธิษฐานแล้วจึงส่งให้มือต่อมือ เปลี่ยนรูปแบบไปบ้างอย่างที่เห็นในปัจจุบัน มีประวัติด้วยว่าประเพณีนี้จะเสื่อมสูญเหมือนกันถ้าไม่ได้นายชื้น วรศิริ นายอำเภอบางพลีในช่วงระหว่างปี 2478-2481 เห็นถึงความดีงามของประเพณีและได้ทำการฟื้นฟูส่งเสริมให้ยั่งยืนมาทุกวันนี้ และนับเป็นครั้งแรกที่ภาคราชการเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานประเพณีรับบัวของชาวบางพลี สำหรับปีนี้ทางอำเภอบางพลีจะจัดงานเพิ่มจากที่เคยจัดสองวันเป็นสามวัน โดยกำหนดเริ่มงานตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ถึง 17 ตุลาคม
เรียบเรียงจาก : ชีวิตไทยชุดบรรพบุรุษของเรา : สวทช : 2540
เรื่องประกอบประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อโตนั้นมีตำนานเล่าว่าท่านเป็นพระพุทธรูปพี่น้องกันกับหลวงพ่อพุทธโสธร จ.ฉะเชิงเทรา และหลวงพ่อวัดบ้านแหลม จ.สมุทรสงคราม ซึ่งพระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้ต่างมีประวัติว่าลอยน้ำมา และได้รับการชักรั้งนิมนต์ขึ้นประดิษฐานตามวัดที่ท่านประสงค์จะประดิษฐานอยู่สำหรับหลวงพ่อโตตามประวัติก็ว่าท่านได้ลอยล่องมาโผล่ขึ้นที่บริเวณริมน้ำบางปะกง ต.สัมปทวน จ.ฉะเชิงเทรา ก่อน แล้วจมหายไป มาโผล่ให้เห็นอีกครั้งในแม่น้ำเจ้าพระยา เขตตำบลสามเสน ในครั้งนี้ได้มีประชาชนพยายามฉุดชักขึ้นฝั่งเหมือนกันแต่ไม่สำเร็จสุนทรภู่คงจะได้เห็นจึงแต่งไว้ในนิราศภูเขาทอง จากนั้นมาโผล่อีกครั้งที่บริเวณปากคลองสำโรง จ.สมุทรปราการ ชาวบ้านก็พยายามกราบไหว้อาราธนานิมนต์ขึ้นฝั่งเหมือนกันก็ยังไม่สำเร็จ จนต้องต่อแพผูกไว้กับองค์ท่าน เพื่อไม่ให้จมหายไปอีกและได้อธิษฐานบนบานว่า หากท่านประสงค์จะขึ้นฝั่งที่ใดก็ขอให้แพที่ผูกโยงท่านไว้นั้นไปหยุดที่นั่น แพก็ได้ลอยไปหยุดที่วัดพลับพลาชัยชนะสงคราม ชาวบ้านกับพระสงฆ์ จึงร่วมกันอัญเชิญองค์พระขึ้นที่ท่าน้ำหน้าวัดได้เป็นผลสำเร็จวัดพลับพลาชัยชนะสงครามก็คือวัดบางพลีใหญ่ที่ประดิษฐานหลวงพ่อโตในปัจจุบันนี้เอง
ข้อมูลจาก : บทความพิเศษ ประกอบรายการของสถานีวิทยุ อสมท. เรื่อง "งานประเพณี รับบัว - โยนบัว" ผลิตโดย ส่วนสนับสนุนการผลิตวิทยุ งานบริการการผลิต ฝ่ายออกอากาศวิทยุ กรุงเทพhttp://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=694
http://www.thaipost.net/tabloid/020912/61814
ความสำคัญ
ชื่อ
ภาค
จังหวัด
ระยะเวลาประเพณีรับบัว
ภาคกลาง
สมุทรปราการ
เริ่มตั้งแต่วันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 11 ถึง ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ก่อนออกพรรษา
ประเพณีรับบัว-โยนบัว เป็นประเพณีท้องถิ่นซึ่งมีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย คือ ที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
ด้วยเหตุที่แต่เดิมนั้น พื้นที่ในละแวกอำเภอบางพลีขึ้นชื่อว่า อุดมไปด้วยดอกบัวหลวง (Nelumbo nucifera Gaertn.) สะพรั่งไปทั่วทุกลำคลองหนองบึง เมื่อใกล้จะถึงวันทำบุญในช่วงออกพรรษา ชาวบ้านในอำเภอใกล้เคียงจึงมักพากันพายเรือมาเก็บดอกบัวไปถวายพระ ชาวบางพลีเห็นเช่นนั้นจึงอาสาเป็นผู้เก็บดอกบัวให้ ต่อมา เมื่อใกล้จึงวันออกพรรษาคราใด ชาวบางพลีจะพากันเก็บดอกบัวไว้คอยท่าเผื่อมีคนต่างถิ่นพายเรือมาขอรับดอกบัว นานวันนานปี จากน้ำใจของชาวบ้านบางพลี ก็กลายมาเป็นประเพณีรับบัว
พิธีกรรม
เล่ากันว่าแต่เดิมนั้น เมื่อถึงวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 11 ชาวบ้านต่างอำเภอจะพากันพายเรือมาที่อำเภอบางพลี พร้อมกับร้องรำทำเพลงและประโคมเครื่องดนตรีกันอย่างครื้นเครงใครรู้จักคุ้นเคยกับบ้านไหน ก็จอดเรือขึ้นไปเยี่ยมเยียนกัน เจ้าของบ้านชาวบางพลีก็มักจะตระเตรียมข้าวปลาอาหาร อีกทั้งเครื่องดองของเมาไว้คอยต้อนรับ หากการเลี้ยงดูนั้นติดพันจนดึกดื่น เจ้าของบ้านก็อาจจะต้องปูเสื่อให้ผู้มาเยือนนอนค้างเสียด้วยกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันขึ้น 14 ค่ำ ถือเป็นวันรับบัว-โยนบัว ชาวบ้านจากต่างอำเภอจำนวนมากจะพากันพายเรือมาขอรับดอกบัวจากชาวบางพลี การให้และการรับดอกบัวจะกระทำกันอย่างสุภาพ คือส่งและรับมือต่อมือ และก่อนที่จะยื่นดอกบัวให้นั้น ก็มักจะมีการพนมมืออธิษฐานเสียก่อน ด้วยถือว่าเป็นการทำกุศลร่วมกัน
ต่อมาประเพณีรับบัวได้เลือนหายไปแต่เมื่อนายชื้น วรศิริ ได้เป็นนายอำเภอบางพลีในระหว่าง พ.ศ. 2478-2481 จึงได้รื้นฟื้นประเพณีรับบัวขึ้นมาใหม่ มีการแต่งเรือประกวดประขันกัน เรือที่จัดเข้าประกวดในคราวนั้น มีการนำไม้ไผ่มาสานเป็นโครงรูปองค์พระพุทธรูปปิดหุ้มด้วยกระดาษทองตั้งมาบนเรือ สมมติว่าเป็นหลวงพ่อโตแห่งวัดบางพลีใหญ่ จึงกลายมาเป็นธรรมเนียมในปีต่อๆ มาในการอัญเชิญพระพุทธรูปหลวงพ่อโตจำลองลงเรือ ล่องมาตามคลองสำโรง เพื่อให้ชาวบางพลีทั้งสองฝั่งคลองถวายดอกบัวด้วยการโยนดอกบัวลงไปในลำเรือขณะเดียวกัน ลูกศิษย์หลวงพ่อโตบนเรือก็จะโยนข้าวต้มมัด (ข้าวเหนียว Oryza sativa L.) กล้วยน้ำว้า Musa (BBA)‘Kluai Namwa’?) ถั่วดำ Vigna mungo (L.) Hepper ถั่วเขียว Vigna radiata (L.) Wilezek.ให้ชาวบ้านสองฝั่งคลอง พร้อมทั้งร้องบอกถึงสรรพคุณสารพัดประโยชน์ของข้าวต้มมัดหลวงพ่อโต
ประเพณีรับบัวของชาวบางพลีแต่เดิม จึงกลายมาเป็นประเพณีโยนบัวจนกระทั้งทุกวันนี้
อ้างอิง
http://edunews.eduzones.com/eve123/3508?y=2008&m=2&d=27
www.m-culture.go.th/samutprakan/index.php?module=ContentExpress&func=print&ceid=31
http://personal.swu.ac.th/students/hm471010130/web/page17.htm
เต็ม สมิตินันทน์. 2544. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2544
สอาด บุญเกิด จเร สดากร และ ทิพย์พรรณ สดากร 2543.ชื่อพรรณไม้ในเมืองไทย พ.ศ. 2543

ประเพณีโยนบัว เป็นงานประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนาซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่มากเป็น
ที่รู้จักของคนทั่วไปและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างดี วันจัดงานตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 คือก่อน
ออกพรรษา 1 วัน ที่จัดก่อนวันออกพรรษาเพราะวันออกพรรษาจะเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทำบุญกัน แต่วันงานประเพณีโยนบัว
จะเป็นวันที่ทุกคนสนุกสนานรื่นเริงเปรียบเหมือนการเฉลิมฉลองก่อนเทศกาลออกพรรษา
เมื่อถึงวันงานประเพณี ประชาชนทุกเพศทุกวัย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ และทั้งหญิงชายทุกหมู่บ้าน รวมไปถึงนักท่อง
เที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติจะพากันตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาชมงานแต่สำหรับคนที่เข้าร่วมงานคือเข้าร่วมขบวนแห่เรือด้วยก็จะแต่ง
การชุดไทยสวยงาม งานจะเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเว้า เริ่มจากพิธีแห่ขบวนเรือ ล่องมาตามคลองบางพลีซึ่งจะตั้งต้นจากวัดบางพลีใหญ่
ล่องมา จนถึงที่ว่าการอำเภอ บางพลี เรือลำแรกที่เป็นหัวขบวนจะเป็นเรือพระโดยอัญเชิญหลวงพ่อโตประดิษฐาน มาในเรือ และมี
ฝีพายแจวเรือล่องมาอย่างช้า ๆเพื่อให้ประชาชนที่ยืนอยู่ตลอดสองฝั่งคลองได้โยนดอกบัวที่เตรียมมาลงในเรือพระและคนที่อยู่ในเรือ
ก็จะคอยรับเอาดอกบัวรวบรวมไปวางไว้หน้าตักหลวงพ่อโต เปรียบเสมือนกับการนำเอาดอกไม้มากราบไหว้บูชาพระพุทธรูปนั่นเอง
นอกจากโยนดอกบัวลงในเรือแล้ว ยังมีบางคนโยนข้าวต้มมัดลงมาในเรือด้วยเพื่อให้ฝีพายและคนที่ร่วมอยู่ในขบวนแห่ได้กิน
แก้หิวกันไปพลางก่อนที่จะเสร็จพิธีขบวนเรือในพิธีนี้จะประกอบด้วยเรือพระที่เป็นหัวขบวนและมีเรือติดตามอีกสองสามลำ ต่อจากเรือ
ติดตามนี้จะเป็นเรือที่เข้าร่วมพิธีที่มาจากหมู่บ้านทั้ง 15 หมู่บ้านของตำบลบางพลี โดยแต่ละหมู่บ้านจะส่งเรือเข้าร่วมพิธีหมู่บ้านละ 3
ลำ ซึ่งนอกจากจะเข้าร่วมพิธีแห่แล้วยังถือเป็นการประกวดแข่งขันกันด้วย การประกวดเรือนี้ จะมีทั้งประเภทสวยงาม ความคิดและ
ตลกขบขัน แต่ละหมู่บ้านจึง พิถีพิถันในการแต่งเรือประกวดของตนให้สวยงามเป็นพิเศษ ทำให้ขบวนเรือแห่นี้เป็นขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่
สวยงามละลานตาเป็นที่ชื่นชอบและประทับใจแก่ผู้ที่เข้าชมงานมากจนเป็นที่กล่าวขวัญถึงอยู่เสมอ

การประกวดแข่งขันในประเพณีโยนบัวนี้นอกจากแข่งขันประกวดเรือแล้วยังมีการประอย่างอื่นอีกเพื่อเป็นการเพิ่มสีสันและ
ดึงดูดความสนใจแก่ผู้ร่วมงานรวมไปถึงนักท่องเที่ยว การประกวดแข่งขันเหล่านี้ ได้แก่ การประกวดแจวเรือ การแข่งขันกินข้าวต้มมัด
การแข่งขันชักคะเย่อเรือการแข่งขันพายเรือถัง และการประกวดขวัญใจแม่ค้า การประกวดแข่งขันต่าง ๆ นี้เปิดโอกาส ให้ทุกคนเข้า
ร่วมได้ เพราะสามารถจะส่งเข้าประกวดในนามตำบล หน่วยงานหรือบุคคลก็ได้ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย ยกเว้นการประกวด
ขวัญใจแม่ค้าแต่อย่างไรก็ตามพิธีแห่ขบวนเรือและการประกวดแข่งขันกันนี้ ต้องเสร็จสิ้นก่อน 11 โมง เพราะแดดร้อนจัด ทำให้คนดู
และคนแข่งขันทนแดดไม่ไหว งานก็จะหมดสนุกจึงต้องเลิกงานก่อน 11 โมงเช้า
งานประเพณีโยนบัวนี้นอกจากจะมีพิธีเกี่ยวเนื่องกับศาสนาแล้วยังเป็นประเพณีที่นำเอาภูมิปัญญาไทยเสริมสร้างความสามัคคี
ให้เกิดในชุมชนด้วย เพราะการที่ประชาชนได้เข้าร่วมงานไม่ว่าจะในฐานะผู้ชมหรือผู้มีส่วนร่วมงานก็ตามล้วนทำให้เกิดพลังสามัคคี
ในหมู่บ้านของตนเกิดความภาคภูมิใจและความรักท้องถิ่น ส่วนการที่ให้มีการโยนบัวเพื่อสักการะพระพุทธรูป หรือ หลวงพ่อโตนั้น
ก็เป็นกลยุทธ์ในการส่งเสริมการค้าอย่างหนึ่ง เพราะในชุมชนจะมีนาบัวซึ่งมีดอกบัวจำนวนมาก เมื่อถึงวันงานประเพณีดอกบัวก็จะ
ขายได้ราคาดีขึ้น และขายได้ในจำนวนมากขึ้นด้วย เท่ากับเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ทำนาบัวมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปกติปีละครั้ง เพื่อ
เป็นกำลังใจให้ประกอบอาชีพนี้ต่อไป
http://www.thaigoodview.com/node/46534
งานประเพณี รับบัว - โยนบัว
“เดือน ๑๑ น้ำนอง เดือน ๑๒ น้ำทรง เดือนอ้าย เดือนยี่ น้ำรี่ไหลลง”
ข้อความอันแสดงถึงวัฎจักรของธรรมชาตินี้ คนไทยภาคกลางที่สมัยก่อนมีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับสายน้ำมักจะพูดกันในยามฤดูน้ำเหนือเริ่มไหลหลากลงมา ช่วงเดือน ๙ - เดือน ๑๐ ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงขึ้นแล้วเอ่อล้นตลิ่งในเดือน ๑๑ - เดือน ๑๒ ตามลำดับ และนี่เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งว่างานประเพณีต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องด้วยน้ำกำลังจะมาถึง ไม่ว่าจะงานบุญสารท เดือน ๑๐, งานปิดทองไหว้พระ, งานออกพรรษาที่มักจะมีการแข่งเรือรวมอยู่ด้วย และ งานบุญกฐิน-ผ้าป่า ต่างจะทยอยกันมาเพิ่มเติมความสุขความรื่นเริงให้กับชีวิตผู้คนที่สมัยนั้นเรื่องของความบันเทิงหาได้ไม่ง่ายเช่นทุกวันนี้
สำหรับชาวบางพลี สมุทรปราการ ซึ่งมีงานประเพณีรับบัวหรือโยนบัว สืบทอดกันมายาวนานเกือบร้อยปี กำลังจะได้เห็นภาพของความร่วมมือร่วมใจในการอัญเชิญหลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ ประดิษฐานในเรือลำใหญ่แห่แหนไปตามลำคลองสำโรง เพื่อรับดอกบัวที่ชาวบ้านสองฟากฝั่งตระเตรียมไว้รอคอยที่จะโยนบัวนั้นไปบนเรือ เพื่อนมัสการหลวงพ่อโตอีกครั้ง ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ คือก่อนวันออกพรรษาหนึ่งวัน ตรงกับวันที่ ๑๗ ตุลาคม นี้เอง มีคำบอกเล่าต่อ ๆ กันมาว่าประเพณีอันดีงามนี้สืบเนื่องมาจากทุ่งบางพลีในยามหน้าน้ำสมัยก่อนนั้น มีดอกบัวหลวงอยู่มากมาย เรียกได้ว่าเป็นแหล่งดอกบัวที่ประชาชนทั่วไปในพื้นที่ใกล้เคียงและชาวบางพลีเอง จะสามารถมาเก็บมาหาดอกบัวไปใช้ถวายพระในงานบุญออกพรรษา ได้ทั้งนั้นทำให้ชาวบางพลีผู้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และหวังในบุญกุศลร่วมกันก็จะช่วยจัดเก็บดอกบัวหลวงไว้แจกให้ชาวบ้าน โดยไม่ได้คิดมูลค่าอะไร ในวันก่อนออกพรรษา นี่เป็นสาเหตุเริ่มแรกของประเพณีที่เรียกว่ารับบัว และในสมัยก่อนนั้น ประชาชนที่อยู่ในแถบ อ.บางพลี จะมีอยู่สามพวก คือคนไทยเจ้าของพื้นที่กับคนลาวและคนมอญหรือที่เรียกว่ารามัญ แต่ละกลุ่มจะมีหัวหน้าควบคุมดูแล ต่อมาคนทั้งสามกลุ่มได้ปรึกษากัน แล้วร่วมใจกันหักร้างถางพงแยกออกไปคนละทิศ เพื่อเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกให้กลุ่มของตน ปรากฏว่าพวกมอญที่แยกไปทางลาดกระบังเพาะปลูกแล้วไม่ได้ผล นกหนูรบกวนจึงเตรียมตัวอพยพกลับปากลัดถิ่นเดิม โดยเริ่มอพยพในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ก่อนออกพรรษาหนึ่งวัน จึงได้เก็บดอกบัวไปด้วยมากมาย โดยบอกคนไทยที่คุ้นเคยกันว่าจะนำไปบูชาพระคาถาพันที่ปากลัด ทั้งยังชักชวนว่าในปีต่อไป พอวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ละก็ให้คนไทยเก็บดอกบัวรวบรวมไว้ที่วัดหลวงพ่อโตด้วยพวกตนจะมารับ พอถึงกำหนดวันนัดคนไทยก็เก็บรวบรวมดอกบัวไว้ที่บางพลีใหญ่ พวกมอญก็มารับดอกบัวตามที่ตกลงกันไว้ เวลาที่เขามารับบัวนั้น เขาจะมาด้วยเรือขนาดใหญ่จุคนได้ถึง ๕๐–๖๐ คน มีการร้องรำทำเพลง การละเล่นต่าง ๆ มาอย่างสนุกสนาน พวกที่คอยรับก็พลอยเล่นสนุกสนานไปด้วย ทั้งยังได้เตรียมอาหารคาวหวานไว้เลี้ยงดูกันอิ่มหนำสำราญดีแล้วพวกรามัญหรือคนมอญนี้จึงนำดอกบัวไปบูชาหลวงพ่อโตส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งนำกลับไปบูชาพระคาถาพันที่วัดของตนในวันออกพรรษา จากความร่วมแรงร่วมใจกันทำบุญและ เลี้ยงดูเล่นสนุกสนานร่วมกันทุกปีนี้เอง จึงมีผู้สันนิษฐานว่าคงจะก่อให้เกิดความคุ้นเคยอันส่งผลให้การรับ-ส่งบัวที่เคยรับส่งกันแบบยกมือพนมอธิษฐานแล้วจึงส่งให้มือต่อมือ เปลี่ยนรูปแบบไปบ้างอย่างที่เห็นในปัจจุบัน มีประวัติด้วยว่าประเพณีนี้จะเสื่อมสูญเหมือนกันถ้าไม่ได้นายชื้น วรศิริ นายอำเภอบางพลีในช่วงระหว่างปี 2478-2481 เห็นถึงความดีงามของประเพณีและได้ทำการฟื้นฟูส่งเสริมให้ยั่งยืนมาทุกวันนี้ และนับเป็นครั้งแรกที่ภาคราชการเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานประเพณีรับบัวของชาวบางพลี สำหรับปีนี้ทางอำเภอบางพลีจะจัดงานเพิ่มจากที่เคยจัดสองวันเป็นสามวัน โดยกำหนดเริ่มงานตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ถึง 17 ตุลาคม
เรียบเรียงจาก : ชีวิตไทยชุดบรรพบุรุษของเรา : สวทช : 2540
เรื่องประกอบประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อโตนั้นมีตำนานเล่าว่าท่านเป็นพระพุทธรูปพี่น้องกันกับหลวงพ่อพุทธโสธร จ.ฉะเชิงเทรา และหลวงพ่อวัดบ้านแหลม จ.สมุทรสงคราม ซึ่งพระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้ต่างมีประวัติว่าลอยน้ำมา และได้รับการชักรั้งนิมนต์ขึ้นประดิษฐานตามวัดที่ท่านประสงค์จะประดิษฐานอยู่สำหรับหลวงพ่อโตตามประวัติก็ว่าท่านได้ลอยล่องมาโผล่ขึ้นที่บริเวณริมน้ำบางปะกง ต.สัมปทวน จ.ฉะเชิงเทรา ก่อน แล้วจมหายไป มาโผล่ให้เห็นอีกครั้งในแม่น้ำเจ้าพระยา เขตตำบลสามเสน ในครั้งนี้ได้มีประชาชนพยายามฉุดชักขึ้นฝั่งเหมือนกันแต่ไม่สำเร็จสุนทรภู่คงจะได้เห็นจึงแต่งไว้ในนิราศภูเขาทอง จากนั้นมาโผล่อีกครั้งที่บริเวณปากคลองสำโรง จ.สมุทรปราการ ชาวบ้านก็พยายามกราบไหว้อาราธนานิมนต์ขึ้นฝั่งเหมือนกันก็ยังไม่สำเร็จ จนต้องต่อแพผูกไว้กับองค์ท่าน เพื่อไม่ให้จมหายไปอีกและได้อธิษฐานบนบานว่า หากท่านประสงค์จะขึ้นฝั่งที่ใดก็ขอให้แพที่ผูกโยงท่านไว้นั้นไปหยุดที่นั่น แพก็ได้ลอยไปหยุดที่วัดพลับพลาชัยชนะสงคราม ชาวบ้านกับพระสงฆ์ จึงร่วมกันอัญเชิญองค์พระขึ้นที่ท่าน้ำหน้าวัดได้เป็นผลสำเร็จวัดพลับพลาชัยชนะสงครามก็คือวัดบางพลีใหญ่ที่ประดิษฐานหลวงพ่อโตในปัจจุบันนี้เอง
ข้อมูลจาก : บทความพิเศษ ประกอบรายการของสถานีวิทยุ อสมท. เรื่อง "งานประเพณี รับบัว - โยนบัว" ผลิตโดย ส่วนสนับสนุนการผลิตวิทยุ งานบริการการผลิต ฝ่ายออกอากาศวิทยุ กรุงเทพhttp://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=694
ประเพณีรับบัว
|
![]() จังหวัด สมุทรปราการ |
ช่วงเวลา ![]() ความสำคัญ ![]() ประเพณีรับบัวนี้มีข้อสันนิษฐานความเป็นมาได้ ๓ ประการ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() พิธีกรรม ![]() ประเพณีที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ครั้นนานมาชาวต่างถิ่นที่นำเรือมารับดอกบัวจากชาวบางพลีมีปริมาณลดลงเรื่อยๆ เสียงกระจับ ปี่ สีซอ กลองรำมะนา เสียงเพลงเสียงเฮฮาที่เคยเซ็งแซ่ตามลำคลองสำโรงในคืนวันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ก็ค่อยๆเงียบหายไป ![]() ในการจัดงานประเพณีรับบัวของทางราชการอำเภอบางพลี มีการแต่งเรือประกวด เริ่มมีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ (แต่ก่อนชาวต่างถิ่นจะตกแต่งเรือมาเพียงเพื่อความสวยงามแต่ไม่มีการประกวด) ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ช่วยกันหาดอกบัวแจกข้าวต้มมัดแก่แขกต่างบ้านและผู้จัดเรือประกวดในวันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ประชาชนต่างถิ่นและชาวอำเภอบางพลีจะลงเรือล่องไปตามลำคลองสำโรง ร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนานร่วมกัน ชาวบางพลีจะจัดสุราอาหารไว้ต้อนรับแขกต่างบ้าน ชาวต่างถิ่นคนใดรู้จักมักคุ้นกับชาวอำเภอบางพลีคนใดบ้านใดก็จะพากันไปเยี่ยมเยือน สนุกสนานกับชาวบางพลีบ้านนั้นจนรุ่งเช้า วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ต่างก็จะพากันไปดูการประกวดที่คลองสำโรงหน้าที่ว่าการอำเภอบางพลี ![]() สาระ ![]() ![]() http://personal.swu.ac.th/students/hm471010130/web/page17.htm ประเพณีรับบัวโยนบัวเป็นประเพณีประจำท้องถิ่นของชาวอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดมาแต่โบราณ โดยมิได้ปรากฏหลักฐานว่ามีมาแต่ยุคใดสมัยใด มีข้อสันนิษฐานความเป็นมาจากผู้เฒ่าผู้แก่บางพลีว่า เกิดขึ้นประมาณ 80 ปีมาแล้ว เพื่อเป็นการนมัสการหลวงพ่อโต เล่ากันว่าเป็นพี่น้องกับหลวงพ่อโสธรแปดริ้ว และหลวงพ่อวัดบ้านแหลมสมุทรสงคราม ตำนานกล่าวว่า หลวงพ่อโตลอยตามน้ำเจ้าพระยา มาหยุดที่ปากคลองสำโรงลอยอยู่แถวๆ นั้น เป็นการแสดงเจตจำนงอันแน่วแน่ว่าจะจำพรรษาอยู่ละแวกนั้นอย่างแน่นอน ชาวบ้านจึงช่วยกันชักรั้งนิมนต์เข้ามาจนถึงวัดบางพลีใหญ่ใน ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานปัจจุบัน แล้วอัญเชิญขึ้นไว้ในโบสถ์ หลวงพ่อโตจึงเป็นหลวงพ่อของชาวบางพลีตั้งแต่นั้นมา หลังจากนั้นทุกๆ ปี ชาวบางพลีจะนิมนต์หลวงพ่อขึ้นเรือ แล่นไปให้ชาวบ้านได้นมัสการ โดยครั้งแรกทำเป็นรูปจำลองโดยเอาไม้ไผ่มาสานเป็นโครงรูปองค์พระพุทธรูป ปิดหุ้มด้วยกระดาษทอง ชาวบ้านจะพากันคอยนมัสการหลวงพ่ออยู่ริมคลอง ต่างก็จะเด็ดดอกบัวริมน้ำ แล้วโยนเบาๆ ขึ้นไปบนเรือหลวงพ่อ การรับบัวโยนนี้แต่เดิมคงเล่นกันมาก่อนที่จะกลายเป็นประเพณีนมัสการหลวงพ่อโต เพราะตามคำเล่าต่อๆ กันมาเล่าว่า ในสมัยก่อนท้องที่อำเภอบางพลี เป็นแหล่งที่มีดอกบัวหลวงชุกชุมและมีมากในฤดูฝน ดังนั้น การบำเพ็ญกุศลในเทศกาลออกพรรษา ประชาชาชนต่างท้องที่ที่อยู่ใกล้เคียงกับอำเภอเมืองบางพลี โดยเฉพาะชาวอำเภอเมืองสมุทรปราการกับชาวอำเภอพระประแดง จึงพากันไปหาดอกบัวหลวงในท้องที่อำเภอบางพลี ในสมัยแรกๆ คงจะไปเที่ยวเก็บกันเองตามลำคลองหนองบึงต่างๆ แต่ในสมัยต่อมา ชาวบางพลีได้เก็บหรือจัดเตรียมดอกบัวหลวงไว้สำหรับแจกชาวต่างบ้านที่ต้องการโดยไม่คิดมูลค่าเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่กันหรือเพื่อหวังบุญกุศลร่วมกัน อันกลายมาเป็นประเพณีที่เรียกว่า "รับบัว" แต่ปัจจุบันนี้ชาวต่างท้องที่ดูจะไม่สนใจที่จะไปหาดอกบัวหลวงที่ท้องอำเภอบางพลีเหมือนสมัยก่อน ทางราชการอำเภอบางพลีก็คงจัดให้มีการรับบัวขึ้นเพื่อรักษาและส่งเสริมประเพณีดั้งเดิมให้คงอยู่ต่อไป ในสมัยก่อนนั้นในแถบอำเภอบางพลี มีประชาชนอยู่อาศัยเป็น 3 พวก คือ คนไทย รามัญ และคนลาว แต่ละพวกก็มีหัวหน้าควบคุมดูแล และทำมาหากินต่างกัน ต่อมาทั้ง 3 กลุ่มได้ปรึกษาที่จะร่วมแรงร่วมใจกันหักร้างถางพงให้กว้างขวางยิ่งขึ้นเพื่อทำไร่และทำสวนต่อ และเมื่อถางป่ามาถึงทาง 3 แยก ซึ่งตกลงกันจะแยกทำมาหากินไปคนละทาง พวกรามัญที่แยกกันไปทำมาหากินทางคลองลาดกระบังทำอยู่ได้ 2-3 ปี ก็ไม่ได้ผล เพราะนกและหนูชุกชุมรบกวน จนพืชผลเสียหายมาก เมื่อทำมาหากินไม่ได้ผล พวกรามัญก็ปรึกษากันเตรียมตัวอพยพกลับถิ่นเดิมคือปากลัด และเริ่มอพยพในตอนเช้ามืดของเดือน 11 ขึ้น 14 ค่ำ ก่อนไปได้เก็บดอกบัวในบึงบริเวณนั้นไปมากมาย คนไทยที่คุ้นกับพวกรามัญก็บอกว่าจะเอาไปบูชาพระคาถาพันที่ปากลัด และชักชวนคนไทยที่รักและสนิทชิดชอบกันว่าในปีต่อไป พอถึงเดือน 11 ขึ้น 14 ค่ำ ให้คนไทยเก็บดอกบัวรวบรวมไว้ที่วัดหลวงพ่อโตด้วย แล้วพวกตนจะมารับ ในปีต่อมา พอถึงกำหนดเดือน 11 ขึ้น 14 ค่ำ คนไทยก็ช่วยกันเก็บดอกบัว รวบรวมไว้ที่บางพลีใหญ่ในตามคำขอร้องของพวกรามัญ พวกรามัญก็มารับดอกบัวไปทุกปี พวกรามัญที่มารับดอกบัวนั้นมาโดยเรือขนาดใหญ่จุคน 50-60 คน โดยจะมาถึงตี 3-4 และเมื่อมาถึงวัดก็ตีฆ้องร้องรำทำเพลงและการละเล่นต่างๆ อย่างสนุกสนาน พวกที่มาคอยรับพลอยเล่นกันสนุกสนานไปด้วย และคนไทยจึงได้เตรียมอาหารคาวหวานไปเลี้ยงรับรองโดยใช้ศาลาวัดเป็นที่เลี้ยงอาหารกัน เมื่ออิ่มหนำสำราญดีแล้วพวกรามัญนำดอกบัวไปบูชาหลวงพ่อโต และนำน้ำมนต์ของหลวงพ่อกลับไปเพื่อเป็นสิริมงคล ส่วนดอกบัวที่เหลือพวกรามัญก็นำกลับไปบูชาพระคาถาพัน ที่วัดของตนต่อไป นี่เป็นที่มาของประเพณีรับบัวที่รับรู้และปฏิบัติสืบต่อกันมา สำหรับประชาชนทั่วไป ทั้งชาวต่างบ้านและชาวบางพลีเองก็จะไปเที่ยวดูงานโยนบัวและรับบัว และเที่ยวดูการละเล่น หรือกิจกรรมต่างๆ ที่ทางอำเภอจัดขึ้น เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินเท่านั้น พอถึงวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปีชาวอำเภอเมืองสมุทรปราการและชาวอำเภอพระประแดงจะชักชวนพวกพ้องเพื่อนฝูงพากันลงเรือเป็นเรือพายบ้าง เรือแจวบ้าง ลำเล็กบ้าง ลำใหญ่บ้าง และต่างก็นำเครื่องดนตรีต่างๆ ไปด้วย เช่น ซอ ปี่กระจับ โทน รำมะนา โหม่ง กรับ ฉิ่งฉาบ เป็นต้น แล้วแต่ใครจะถนัด หรือมีเครื่องดนตรีชนิดไหน พายกันไป แจวกันไป ร้องรำทำเพลงกันไป เป็นที่สนุกสนาน ตลอดระยะทาง และเป็นเช่นนี้ตลอดคืน ซึ่งบางพวกจะผ่านมาทางลำแม่น้ำเจ้าพระยา บางพวกจะผ่านมาทางลำคลองอื่นๆ เข้าคลองสำโรงและมุ่งไปยังหมู่บ้านบางพลีใหญ่ สำหรับชาวบางพลีก็จะถือปฏิบัติกันเป็นประเพณีว่าเมื่อถึงวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 11 ก็จะต้องหาดอกบัวหลวง สำหรับไว้มอบให้แก่ชาวต่างบ้านที่ต้องการมิตรต่างบ้านมาเยือนในโอกาสเช่นนั้นก็แสดงมิตรจิตต้อนรับ จัดหาสุราอาหารมาเลี้ยงดูกัน ตั้งแต่ตอนค่ำของวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 11 ส่วนพวกที่มารับบัว คนใดที่รู้จักมักคุ้นกับชาวบางพลีผู้เป็นเจ้าของบ้าน ก็จะพากันขึ้นไปเยี่ยมเยือนบ้านนั้นบ้านนี้ ต่างก็จะสนุกสนานร้องรำทำเพลงและรับประทานสุรา อาหาร ร่วมกันตลอดคืน พอเช้าตรู่ของวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ชาวต่างบ้านก็จะนำเรือของตนไปตามลำคลองสำโรง และไปขอรับบัวจากชาวบ้านบางพลีทั้งสองฝั่งคลอง การให้และรับดอกบัวก็จะกระทำอย่างสุภาพคือส่งและรับกันมือต่อมือหรือก่อนจะให้กันยกมือพนมอธิษฐานเสียก่อน ระหว่างชาวบ้านบางพลีกับชาวบ้านต่างที่สนิทสนมคุ้นเคยกันนี้เอง เมื่อนานเข้าก็ค่อยกลายเป็นความนิยมกันเป็นการทั่วไปการให้และรับกันแบบมือต่อมือจึงเปลี่ยนไปจนมีการนำมาพูดในตอนหลังว่า "โยนบัว" แทนคำว่า "รับบัว" การรับดอกบัวของชาวต่างบ้านจากชาวบางพลีจะสิ้นสุดลงเมื่อเวลา 08.00 น. หรือ 09.00 น. และชาวต่างบ้านก็จะพากันกลับ ตอนขากลับนี้จะมีการแข่งเรือกันไปด้วย แต่เป็นการแข่งกันโดยไม่มีเส้นชัย ไม่มีกรรมการตัดสินและไม่มีการแบ่งประเภท หรือชนิดของเรือ ใครพอใจจะแข่งกับใคร เมื่อไร ที่ใด ก็แข่งขันกันไป หรือเปลี่ยนคู่แข่งขันไปเรื่อยๆ ตามแต่จะสะดวกหรือตกลงกัน ดอกบัวที่ชาวต่างบ้านได้รับจากชาวบางพลีนั้นก็จะนำไปบูชาพระในวันเทศกาลออกพรรษาตามวัดในหมู่บ้านของตน ส่วนใหญ่จะนำไปบูชาพระสมุทรเจดีย์ที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา อำเภอเมืองสมุทรปราการ. |
ประเพณีรับบัว
โยนบัวเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนานของชาวบางพลี
จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 11 และช่วงเช้าตรู่ของวันขึ้น 14 ค่ำ
เดือน 11
การจัดงานประกอบด้วยการนมัสการและขบวนแห่หลวงพ่อโต ทั้งทางบกและทางน้ำ
การแข่งขันกิจกรรมพื้นบ้าน อาทิ การจัดพานดอกบัว มีการประกวดเรือประเภทต่างๆ
และการแสดงการละเล่นพื้นบ้าน เช่น เพลงเรือ
ในช่วงเช้าตรู่ของวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11
จะเป็นงานประเพณีการรับบัวหรือโยนบัว
โดยประชาชนจะโยนดอกบัวลงในเรือขบวนแห่พระพุทธรูปจำลองของหลวงพ่อโต
ในขณะเดียวกันชาวบางพลีก็จะโยนบัวให้กับคนต่างบ้านที่พายเรือมาเที่ยวด้วย
เพื่อเป็นการทำบุญร่วมกัน
ในปี 2551 นี้
จัดวันที่ 10-13 ตุลาคม ณ ที่ว่าการอำเภอบางพลี และวัดบางพลีใหญ่ใน (วัดหลวงพ่อโต)
จ.สมุทรปราการ
|
|
![]() คำสั่งเจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่ใน กำหนดกฎระเบียบต่างๆ |
|
![]() มีกิจกรรมมากมายในงานโดยเฉพาะวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 11 ที่ไม่ควรพลาดคือ การแข่งเรือ การชมการประกวด สาวงาม-หนุ่มหล่อชาวรามัญ -------------------- ภาพการแข่งเรือ |
|
![]() การแข่งเรือ แข่งทีละ 2 ทีม ขนาดไปตามลำคลอง กำหนดเส้นชัยหน้าวัด ผู้ชนะได้รางวัลพร้อมถ้วยพระราชทาน |
|
![]() ประมวลภาพการแข่งเรือ เมื่อเข้าเส้นชัย |
|
![]() เมื่อมีผู้ชนะย่อมมีผู้แพ้ เพียงเสี้ยววินาทีขณะเข้าเส้นชัย ความรู้สักต่างกันเยอะ http://www.thai-tour.com/attraction/%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B5/ |